ต้นเหตุ ปั๊มติ๊กเสีย ป้องกันก่อนลมจับ By Tiresbid

ผู้เขียนข้อความ

tiresbid

member
เขียนกระทู้: 135
ตอบกระทู้: 1
พลังน้ำใจ: 0 (ขอบคุณ)
9 พฤษภาคม 2561 11:51 - อ่าน: 2,528 - ตอบ: 0

สวัสดีครับ วันนี้ จอร์จ มีศัพท์ใหม่และเป็นหัวข้อจะมาคุยกันในครั้งนี้ครับ “ ปั๊มติ๊ก ” ใครทราบหรือรู้จักบ้างไหมครับ ช่วยกันคอมเม้นท์มาได้เลยนะครับ หลังจากอ่านจบแล้ว สำหรับคนรักรถ นักแต่งรถ ในวงการสายซิ่งคงทราบกันเป็นอย่างดี แต่เพื่อนๆหลายท่าน ไม่ทราบคงไม่แปลกครับ จอร์จ จะมาเล่าให้ฟังว่า สิ่งนี้สำคัญอย่างไรและผลเสียอย่างไรกับรถยนต์ของเรา “ปั๊มติ๊ก” เป็นชื่อเล่นในวงการก็ว่าได้ครับ ซึ่งชื่อแบบทางการจะเรียกว่า

“ ปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิง ” ในปัจจุบันรถยนต์ที่ใช้ระบบหัวฉีดมีความต้องการแรงดันที่สูงขึ้น เพราะของเดิมจากโรงงานมันไม่แรงถูกใจต้องเปลี่ยนกันหน่อย จึงเปลี่ยนมาใช้ระบบ “ ปั๊มติ๊กไฟฟ้า ” ปัจจุบันมีทั้งแบบ เรกกูเรเตอร์อยู่ในถังน้ำมัน และแบบใช้ ECU เป็นตัวควบคุมแรงดันไฟฟ้า ซึ่งเป็นส่วนสำคัญมากในระบบหัวฉีด ทำหน้าที่ควบคุมการปรับแรงดันความสมดุลของเหลวในห้องเครื่องอย่างเหมาะสม อีกชื่อนิยม คือ “ปั๊มซิ่ง“

แล้วเพื่อนๆทราบกันไหมครับ “ปั๊มติ๊ก” มักจะเสียบ่อยๆหรืออะไรคือสาเหตุหลักๆ เพื่อนคงพอ

เดากันได้นะครับ คงเป็นเรื่องการปล่อยให้น้ำมันให้ใกล้หมดเป็นประจำนั่นเอง หลายท่านเห็นสัญญาณไฟแจ้งเตือนน้ำมันหมด ยังชะล่าใจ วิ่งได้อีก 10 – 20 กิโลสบายๆ เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องนะครับจะส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อชิ้นส่วนรถยนต์ เพราะการทำงานของปั๊มติ๊กเป็นชิ้นส่วนที่ต้องการน้ำมันมาหล่อเลี้ยงเพื่อ ป้องกันความร้อน พูดง่ายๆคือเมื่อไม่มีน้ำมันมาหล่อเลี้ยง “ปั๊มติ๊ก” ต้องทำงานหนักขึ้นและก็พังในที่สุดครับ

ดังนั้น จอร์จ จะมาแนะนำเทคนิควิธียืดอายุให้ใช้งานได้นานๆจากเมื่อกี้เกริ่นไปแล้วว่าไม่ควรรอน้ำมันใกล้หมด แล้วค่อยไปเติมแต่เพื่อนๆก็คงสงสัยอีกว่าแค่ไหน ควรเติมได้แล้ว จอร์จ แนะนำแบบนี้ครับ ควรหมั่นเติมน้ำมันให้เกินครึ่งถังอยู่เสมอ หรือหากเพื่อนๆจอดรถทิ้งไว้นานๆ ไม่ค่อยได้ขับไปไหนแนะนำให้เติมน้ำมัน “เบนซิน” ที่ไม่มีส่วนผสมของเอทานอลจะช่วยป้องกัน “ปั๊มติ๊ก” ไม่ให้เสื่อมสภาพเร็วได้เช่นกัน “ดีเซล” ก็ใช้เงื่อนไขเดียวกันครับ (เดี๋ยวจะหาว่า จอร์จ ไม่เตือน)

แต่หากรถของเพื่อนๆมีอาการดังต่อไปนี้ต้องรีบเข้าศูนย์บริการ หรือเข้าอู่ที่ได้มาตรฐานทันทีเลยครับ จาก จอร์จ ประมาณการค่าเสียหายคร่าวๆ กรณีเปลี่ยนทั้งชุดมีราคาตั้งแต่ 5,000 ไปจนถึงหลักหมื่น ขึ้นอยู่กับยี่ห้อรถที่เราใช้ด้วย เสียทีขนหน้าแข้งร่วงกราว แน่นอนเลยครับ สำหรับแนวทางป้องกันก่อน จอร์จ รวบรวมลักษณะอาการมาให้แล้วครับ หากเราอยากประหยัดเงิน สามารถเปลี่ยน “ปั๊มติ๊ก” ได้เองเช่นกัน เรามาดูพร้อมกันเลยครับ

อาการปั๊มติ๊กพัง!

- ไม่มีเสียงดัง ติ๊กๆ ก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์ (รถรุ่นเก่า)

- รถสตาร์ทติดยาก (เช็กแบตเตอรี่เต็ม ไดร์สตาร์ทดัง ฟิวส์ไม่ขาด)

- สตาร์ทรถแล้วเครื่องยนต์กระตุก หรือเร่งไม่ขึ้น

- เครื่องยนต์สะดุด ขณะขับรถที่ความเร็วคงที่

- รถติดแก๊ส สตาร์ทน้ำมันไม่ติด สตาร์ทแก๊สติด

 

วิธีเปลี่ยน “ปั๊มติ๊ก” ด้วยตนเอง

- ถอดเบาะหลังออกเพราะ (ปั๊มติ๊ก อยู่ใต้เบาะ)

- สังเกตแผ่นเหล็กใต้เบาะ (รูปวงรี)

- ใช้ไขควงแฉกเอาน๊อตทั้ง 4 ตัวออกมา

- ปลดตัวล็อคที่ปลั๊กเขียวอ่อนทั้งสองข้าง

- ใช้ประแจเบอร์ 10 ขันน็อตที่ตัวปั๊มออก

- ดึงปั๊มติ๊กตัวเก่าออกมา ใส่ของใหม่เข้าไป

ถ้าหากเพื่อนๆไม่ได้ชำนาญหรือรู้สึกกังวลแนะนำให้เข้าอู่ หรือ ศูนย์บริการดีกว่าครับ เพราะเป็นเรื่องยุ่งยากพอสมควรในการต้องรื้อเบาะหลังรถยนต์ แล้วต้องมาถอดชิ้นส่วนต่างออกอีก ไหนจะต้องเปลื้อนน้ำมันเลอะเทอะ หลายท่านก็คงไม่อยากจะเนื้อตัวมอมแมมแน่นอน ดังนั้นสุดท้ายนี้ จอร์จ ขอให้เพื่อนๆดูแลรถยนต์ให้ดีนะครับ การละเลยถือเป็นความประมาทอย่างหนึ่ง หากมีข้อสงสัยต้องการสอบถามทางเทคนิค หรือ ต้องการให้ จอร์จ แนะนำเพิ่มเติม ติดต่อมาได้เลย Line@ : @tiresbid ครับ จอร์จและทีมงานพร้อมให้คำแนะนำครับ ไหนๆก็ทักมาแล้วอยากเปลี่ยนยางด้วย แจ้งมาได้นะครับ หากไม่สะดวกพิมพ์อยากคุยกันมากกว่า โทรมาเลย : 080-589-4711 (คุณคิม) คุยง่าย แนะนำดี ไม่ผิดหวัง และ หากต้องการตรวจเช็คสภาพรถยนต์ ฟรี !

(โปรโมชั่น : เมื่อเปลี่ยนยางครบ 4 เส้น) สนใจแจ้งและนัดวันเข้ามาได้เลยครับ ขอบคุณครับ

กระทู้อื่นๆที่เกี่ยวข้อง


ตอบกระทู้ด่วน

กรุณาล็อคอินก่อนทำการตอบกระทู้นี้
สมัครสมาชิก หรือ ล็อคอิน