เคลือบสี, เคลือบแก้ว, เคลือบเซรามิก จะเลือกดูแลสีรถยนต์แบบไหนดี?

ผู้เขียนข้อความ

smanpruksa

member
เขียนกระทู้: 82
ตอบกระทู้: 0
พลังน้ำใจ: 0 (ขอบคุณ)
20 สิงหาคม 2563 16:19 - อ่าน: 10,296 - ตอบ: 0

ใคร ๆ ก็อยากจะรักษาสีของรถยนต์ให้เงางามเหมือนใหม่ไปนาน ๆ โดยเฉพาะรถยนต์ใหม่ที่สีของรถยังไม่มีรอยขีดข่วน ทำให้ต้องมองหาวิธีการดูแลรักษาสีรถยนต์ให้ทนทานเหมือนใหม่อยู่เสมอ แต่ก็มีหลากหลายวิธีให้เลือก เช่น การเคลือบสีด้วยวิธีแบบต่างๆ มากมาย แล้วเคลือบสีแต่ละแบบต่างกันอย่างไร แล้วเราควรทำไหม

มารู้จักขั้นตอนการทำสีของรถยนต์โดยทั่วไปกันก่อน

การทำสีรถยนต์ในโรงงานหรือตามอู่ต่างๆ จะมีขั้นตอนดังนี้

  1. เริ่มจากการเตรียมผิวเพื่อให้พร้อมสำหรับการพ่นเคลือบตัวถังรถ
  2. ขั้นตอนการป้องกันสนิม และรองสีพื้น ในโรงงานรถยนต์จะใช้การชุบโครงรถทั้งชิ้นลงไปในอ่างน้ำยาเพื่อให้เสมอเท่ากัน 
  3. การพ่นสีจริง ตามปกติจะพ่น 2-3 รอบ (ถ้าไม่ใช่สีประเภทสีเหลือบมุก)
  4. การพ่นแลคเกอร์เคลือบสี อีก 2 ชั้น จบขั้นตอนการทำสีรถยนต์

การขัด-เคลือบสี

การดูแลสีของรถยนต์โดยปกติ เราควรไปขัดสีรถเป็นประจำอย่างน้อยทุกๆ 2 ปี เพื่อให้สีรถเงางามเสมอ เพราะเมื่อเราใช้รถไปนานๆ จะมีคราบต่างทำให้สีหมองไม่เงางามเหมือนเดิม การขัด-เคลือบสีจะประกอบด้วย 2 ขั้นตอน คือ

การขัดสีรถ

การขัดสี เป็นการขัดล้างชั้นแลคเกอร์ที่พ่นทับหน้าสีจริงของรถยนต์ ที่อาจจะมีรอยขีดข่วนที่เรียกว่า “รอยขนแมว” ที่ทำให้รถดูไม่เงางามเหมือนใหม่ วิธีการขัดสีแบ่งเป็น 2 ขั้นตอน คือ การขัดถูแลคเกอร์ และ การใช้น้ำยาขัด ซึ่งจะใช้น้ำยาขัด มี 2 ขั้นตอนสำคัญ คือ การขัดหยาบ และ การขัดละเอียด ลบรอยทั้งหมดโดยใช้เครื่องหมุนความเร็วสูง และที่สำคัญต้องทำโดยช่างผู้ชำนาญการในการขัดสีรถยนต์เท่านั้น การขัดสีเป็นการเตรียมผิวสีให้พร้อมก่อนการเคลือบสีหรือการลงแว็กซ์

การเคลือบสี

การเคลือบสีเป็นขั้นตอนหลังทำสีหลังการทำให้ชั้นแลคเกอร์สะอาดเสมอ ด้วยการใช้ แว็กซ์ (Wax) ทาลงไปบนชั้นแลคเกอร์ให้เคลือบแล้วเช็ดออก ซึ่งมีคุณสมบัติ

  1. ช่วยทำความสะอาดชั้นแลคเกอร์ สามารถลบรอยเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้นได้
  2. เป็นเกราะป้องกันแรกที่จะปกป้องรถยนต์ของเราให้ห่างไกลจากสิ่งสกปรก
  3. สร้างชั้นปกป้องบางๆ บนแลคเกอร์ เพื่อลดการเกาะของฝุ่น น้ำ และคราบ ๆ ต่าง ๆ ที่ชั้นแลคเกอร์ ทำให้น้ำไม่เกาะผิวรถ
  4. ปกป้องสีรถยนต์ของเราจากความร้อน โดยเฉพาะแสงแดดที่ทำอันตรายกับสีรถ
  5. การเคลือบสีรถปกติเปรียบเสมือนการเคลือบสีระยะสั้นมีอายุการใช้งานมากสุดไม่เกิน 1 เดือน เช่น เเว็กซ์แบบครีม มีระยะเวลาใช้งานแค่ 3-4 วัน เคลือบเเว็กซ์แบบน้ำอยู่ได้ 3-4 อาทิตย์ เท่านั้น

การดูแลรถกด้วยเคลือบสีด้วยแว็กซ์ธรรมดาทั่วไปถือว่าเพียงแล้ว เพียงแต่ต้องหมั่นดูอย่างสม่ำเสมอ ควรทำการแว็กซ์รถทุกๆ เดือน หรือ2-3 เดือน ด้วยฟองน้ำและผ้าไมโครไฟเบอร์เนื้อละเอียดเ และควรเลือกแว็กซ์ที่ดี

เคลือบแก้วสีรถยนต์คืออะไร?

เคลือบแก้ว ( Glass Coating ) เป็นการดูแลรักษาสีและพื้นผิวของรถยนต์ให้คงสภาพความเงางามเหมือนใหม่ การเคลือบแก้วเปรียบเสมือนการเคลือบสีระยะยาว สามารถรักษาสภาพความเงางามของรถได้ยาวนานตั้งแต่ 1-5 ปี ตามน้ำยา ในการเคลือบเพียงครั้งเดียว

 

การเคลือบแก้วเป็นการนำสารเคมี Silicon dioxide (SiO2) หรือที่เรียกว่า ‘ซิลิก้า’ อันเป็นสารประกอบของผลึกแก้ว มาเคลือบเพื่อให้เกิดความเงางามและปกป้องสีรถ ที่เมื่อเคลือบไปแล้วจะติดผสมเข้ากับชั้นสีรถเป็นลักษณะเหมือนฟิล์มแก้วบางๆที่ช่วยปกป้องสีรถ พร้อมให้ความเงางาม บางครั้งมีการเพิ่มสารตะกั่วซึ่งมีลักษณะคล้ายกับการผลิตแก้วคริสตัล แล้วจึงเรียกว่าเป็น “เคลือบคริสตัล” ขึ้นอยู่กับน้ำยาเคลือบแก้วแต่ละยี่ห้อ

เคลือบแก้วจะช่วยลดรอยขีดข่วน รอยขนผ้า รอยขนแมวต่าง ๆ แต่ไม่สามารถป้องกันรอยขีดข่วนหนัก ๆ อย่างการขูด การทุบ ได้ เคลือบแก้วเพียงช่วยเสริมให้รถมีความทนทานขึ้นเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าจะทนได้ทุกอย่าง ช่วยป้องกันคราบเปื้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ อย่างคราบฝุ่น ฝน หรือหยดน้ำ ไม่ต้องทำความสะอาดทุกครั้งเมื่อเจอคราบต่าง ๆ เคลือบแก้วจึงเหมาะกับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาล้างรถ ขึ้นอยู่กับคุณภาพของน้ำยาเคลือบ วัสดุ วิธีการและความชำนาญงานของช่างเคลือบและประเภทของเคลือบแก้ว

วิธีการเคลือบแก้วแบ่งได้ 2 แบบ คือ แบบทาและแบบพ่น ซึ่งแบบทาเป็นวิธีการแบบดั้งเดิมที่ในปัจจุบันยังได้รับความนิยมอยู่ โดยวิธีการนี้จะใช้ทักษะของช่างเคลือบที่ต้องมีความชำนาญสูงที่ต้องทาสารเคลือบให้กระจายทุกส่วนของพื้นผิวรถยนต์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่บางและไม่หนามากเกินไป

ส่วนแบบพ่น เป็นการเคลือบแบบใช้เครื่องพ่นแบบอุตสาหกรรมสีรถยนต์ในปัจจุบัน ที่จะช่วยให้สารพ่นกระจายตัวได้ดีและระเหยได้ไวและไม่ต้องเช็ดของเหลวออก วิธีการเคลือบแบบนี้ ให้ความคงทน เงางาม เสริมสีรถให้ดูฉ่ำแวววาว สดใหม่เสมอ มีความสะดวกรวดเร็วมากขึ้น

เคลือบแก้วเหมาะกับรถแบบไหน?

  • รถที่ไปทำเคลือบแก้วส่วนใหญ่มักจะเป็นรถใหม่ป้ายแดงที่ไร้รอยขีดข่วนใด ๆ ซึ่งสามารถเข้ารับการเคลือบได้เลยในทันทีไม่ต้องผ่านขั้นตอนขัดสี เพราะรถที่เข้ารับบริการต้องเป็นรถที่สะอาดไม่มีรอย เพราะหากมีรอยจะต้องผ่านกระบวนการทำความสะอาดชำระล้างให้เรียบร้อยหรือที่เรียกว่า “Wet Look “ ก่อน
  • เหมาะกับรถที่เมื่อเกิดรอยแล้วจะเห็นได้ชัด อย่างรถสีขาวหรือสีดำ
  • คนไม่มีเวลาล้างรถ ดูแลรถ
  • รถที่จอดกลางแจ้งอยู่บ่อย ๆ เพราะเคลือบแก้วจะช่วยป้องกันแสง UV 

เคลือบเซรามิกคืออะไร

เคลือบเซรามิก คล้ายกับเคลือบแก้ว คือการใช้น้ำยาพิเศษสร้างชั้นพื้นผิวเพิ่มจากชั้นแลคเกอร์ อีก 1 ชั้น เพื่อป้องกันการทำรอย ปฏิกิริยา กับชั้นแลคเกอร์โดยตรง แต่มีนำสารเคมีในกลุ่มเซรามิกมาเคลือบบนผิวรถ เพื่อนำคุณสมบัติความแข็งและความทนทานต่อสารเคมีสูงกว่า เช่น SiC (ซิลิกอนคาร์ไบด์) ทำให้มีความแข็งที่เหนือกว่าเคลือบแก้ว มีการปกป้องที่สูงกว่า

ข้อควรรู้ของการเคลือบแก้ว-เซรามิก

  1. ต้องนำรถเข้าดูแลแบบต่อเนื่อง เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
  2. การเคลือบแก้ว-เซรามิก ไม่สามารถทนต่อการชนกระแทก จนเป็นรอยบุบ, การขูดลึกที่มีความรุนแรง เช่น หินดีดจากถนน หรือ โดนไขควงขูดได้
  3. การเคลือบแก้ว-เซรามิก มีราคาสูง แต่สามารถอยู่ได้นาน 2-3 ปี เท่านั้น (หลังจากนั้นต้องเคลือบใหม่)
  4. การเคลือบแก้ว-เซรามิก เหมาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลรถ แต่ก็เทียบเท่ากับคนหมั่นเคลือบสี
  5. เวลารถเกิดอุบัติเหตุ ต้องเปลี่ยนชิ้นส่วนตัวถัง การเคลือบเซรามิกเฉพาะจุดจะมีราคาแพง บางร้านอาจไม่ทำให้เนื่องจากไม่คุ้ม
  6. ต้องมีการเตรียมพื้นผิวที่ดีก่อนการทำการเคลือบแก้ว-เซรามิก จึงเป็นที่นิยมสำหรับรถใหม่ ส่วนรถเก่าต้องผ่านการล้างขัดสี แล้วจึงจะสามารถทำได้

 

จะเลือกเคลือบรถแบบไหนก็ต้องดูตามความเหมาะสม หากดูแลรถเป็นประจำการเคลือบแว็กซ์ทุกเดือนก็น่าจะเพียงพอ แต่หากอยากได้ความเงางามแต่ไม่มีเวลาการเคลือบแก้วหรือเซรามิกอาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้รักรถ ขอบคุณข้อมูลจาก สินมั่นคงประกันภัย ...ประกันรถ ประกันเวลา...

กระทู้อื่นๆที่เกี่ยวข้อง


ตอบกระทู้ด่วน

กรุณาล็อคอินก่อนทำการตอบกระทู้นี้
สมัครสมาชิก หรือ ล็อคอิน