ผู้เขียน | ข้อความ | ||
---|---|---|---|
smanpruksa
เขียนกระทู้: 82
ตอบกระทู้: 0
พลังน้ำใจ: 0
(ขอบคุณ)
|
ใคร ๆ ก็อยากจะรักษาสีของรถยนต์ให้เงางามเหมือนใหม่ไปนาน ๆ โดยเฉพาะรถยนต์ใหม่ที่สีของรถยังไม่มีรอยขีดข่วน ทำให้ต้องมองหาวิธีการดูแลรักษาสีรถยนต์ให้ทนทานเหมือนใหม่อยู่เสมอ แต่ก็มีหลากหลายวิธีให้เลือก เช่น การเคลือบสีด้วยวิธีแบบต่างๆ มากมาย แล้วเคลือบสีแต่ละแบบต่างกันอย่างไร แล้วเราควรทำไหม มารู้จักขั้นตอนการทำสีของรถยนต์โดยทั่วไปกันก่อน การทำสีรถยนต์ในโรงงานหรือตามอู่ต่างๆ จะมีขั้นตอนดังนี้
การขัด-เคลือบสี การดูแลสีของรถยนต์โดยปกติ เราควรไปขัดสีรถเป็นประจำอย่างน้อยทุกๆ 2 ปี เพื่อให้สีรถเงางามเสมอ เพราะเมื่อเราใช้รถไปนานๆ จะมีคราบต่างทำให้สีหมองไม่เงางามเหมือนเดิม การขัด-เคลือบสีจะประกอบด้วย 2 ขั้นตอน คือ การขัดสีรถ การขัดสี เป็นการขัดล้างชั้นแลคเกอร์ที่พ่นทับหน้าสีจริงของรถยนต์ ที่อาจจะมีรอยขีดข่วนที่เรียกว่า “รอยขนแมว” ที่ทำให้รถดูไม่เงางามเหมือนใหม่ วิธีการขัดสีแบ่งเป็น 2 ขั้นตอน คือ การขัดถูแลคเกอร์ และ การใช้น้ำยาขัด ซึ่งจะใช้น้ำยาขัด มี 2 ขั้นตอนสำคัญ คือ การขัดหยาบ และ การขัดละเอียด ลบรอยทั้งหมดโดยใช้เครื่องหมุนความเร็วสูง และที่สำคัญต้องทำโดยช่างผู้ชำนาญการในการขัดสีรถยนต์เท่านั้น การขัดสีเป็นการเตรียมผิวสีให้พร้อมก่อนการเคลือบสีหรือการลงแว็กซ์ การเคลือบสี การเคลือบสีเป็นขั้นตอนหลังทำสีหลังการทำให้ชั้นแลคเกอร์สะอาดเสมอ ด้วยการใช้ แว็กซ์ (Wax) ทาลงไปบนชั้นแลคเกอร์ให้เคลือบแล้วเช็ดออก ซึ่งมีคุณสมบัติ
การดูแลรถกด้วยเคลือบสีด้วยแว็กซ์ธรรมดาทั่วไปถือว่าเพียงแล้ว เพียงแต่ต้องหมั่นดูอย่างสม่ำเสมอ ควรทำการแว็กซ์รถทุกๆ เดือน หรือ2-3 เดือน ด้วยฟองน้ำและผ้าไมโครไฟเบอร์เนื้อละเอียดเ และควรเลือกแว็กซ์ที่ดี เคลือบแก้วสีรถยนต์คืออะไร? เคลือบแก้ว ( Glass Coating ) เป็นการดูแลรักษาสีและพื้นผิวของรถยนต์ให้คงสภาพความเงางามเหมือนใหม่ การเคลือบแก้วเปรียบเสมือนการเคลือบสีระยะยาว สามารถรักษาสภาพความเงางามของรถได้ยาวนานตั้งแต่ 1-5 ปี ตามน้ำยา ในการเคลือบเพียงครั้งเดียว
การเคลือบแก้วเป็นการนำสารเคมี Silicon dioxide (SiO2) หรือที่เรียกว่า ‘ซิลิก้า’ อันเป็นสารประกอบของผลึกแก้ว มาเคลือบเพื่อให้เกิดความเงางามและปกป้องสีรถ ที่เมื่อเคลือบไปแล้วจะติดผสมเข้ากับชั้นสีรถเป็นลักษณะเหมือนฟิล์มแก้วบางๆที่ช่วยปกป้องสีรถ พร้อมให้ความเงางาม บางครั้งมีการเพิ่มสารตะกั่วซึ่งมีลักษณะคล้ายกับการผลิตแก้วคริสตัล แล้วจึงเรียกว่าเป็น “เคลือบคริสตัล” ขึ้นอยู่กับน้ำยาเคลือบแก้วแต่ละยี่ห้อ เคลือบแก้วจะช่วยลดรอยขีดข่วน รอยขนผ้า รอยขนแมวต่าง ๆ แต่ไม่สามารถป้องกันรอยขีดข่วนหนัก ๆ อย่างการขูด การทุบ ได้ เคลือบแก้วเพียงช่วยเสริมให้รถมีความทนทานขึ้นเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าจะทนได้ทุกอย่าง ช่วยป้องกันคราบเปื้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ อย่างคราบฝุ่น ฝน หรือหยดน้ำ ไม่ต้องทำความสะอาดทุกครั้งเมื่อเจอคราบต่าง ๆ เคลือบแก้วจึงเหมาะกับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาล้างรถ ขึ้นอยู่กับคุณภาพของน้ำยาเคลือบ วัสดุ วิธีการและความชำนาญงานของช่างเคลือบและประเภทของเคลือบแก้ว วิธีการเคลือบแก้วแบ่งได้ 2 แบบ คือ แบบทาและแบบพ่น ซึ่งแบบทาเป็นวิธีการแบบดั้งเดิมที่ในปัจจุบันยังได้รับความนิยมอยู่ โดยวิธีการนี้จะใช้ทักษะของช่างเคลือบที่ต้องมีความชำนาญสูงที่ต้องทาสารเคลือบให้กระจายทุกส่วนของพื้นผิวรถยนต์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่บางและไม่หนามากเกินไป ส่วนแบบพ่น เป็นการเคลือบแบบใช้เครื่องพ่นแบบอุตสาหกรรมสีรถยนต์ในปัจจุบัน ที่จะช่วยให้สารพ่นกระจายตัวได้ดีและระเหยได้ไวและไม่ต้องเช็ดของเหลวออก วิธีการเคลือบแบบนี้ ให้ความคงทน เงางาม เสริมสีรถให้ดูฉ่ำแวววาว สดใหม่เสมอ มีความสะดวกรวดเร็วมากขึ้น เคลือบแก้วเหมาะกับรถแบบไหน?
เคลือบเซรามิกคืออะไร เคลือบเซรามิก คล้ายกับเคลือบแก้ว คือการใช้น้ำยาพิเศษสร้างชั้นพื้นผิวเพิ่มจากชั้นแลคเกอร์ อีก 1 ชั้น เพื่อป้องกันการทำรอย ปฏิกิริยา กับชั้นแลคเกอร์โดยตรง แต่มีนำสารเคมีในกลุ่มเซรามิกมาเคลือบบนผิวรถ เพื่อนำคุณสมบัติความแข็งและความทนทานต่อสารเคมีสูงกว่า เช่น SiC (ซิลิกอนคาร์ไบด์) ทำให้มีความแข็งที่เหนือกว่าเคลือบแก้ว มีการปกป้องที่สูงกว่า ข้อควรรู้ของการเคลือบแก้ว-เซรามิก
จะเลือกเคลือบรถแบบไหนก็ต้องดูตามความเหมาะสม หากดูแลรถเป็นประจำการเคลือบแว็กซ์ทุกเดือนก็น่าจะเพียงพอ แต่หากอยากได้ความเงางามแต่ไม่มีเวลาการเคลือบแก้วหรือเซรามิกอาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้รักรถ ขอบคุณข้อมูลจาก สินมั่นคงประกันภัย ...ประกันรถ ประกันเวลา... กระทู้อื่นๆที่เกี่ยวข้อง
|
||