ผู้เขียน | ข้อความ | ||
---|---|---|---|
shopper
เขียนกระทู้: 3
ตอบกระทู้: 1
พลังน้ำใจ: 0
(ขอบคุณ)
|
เมื่อรัชกาลที่ ๔ กรุงรัตนโกสินทร์ได้มีการสลับตัวอย่างสินทรัพย์ที่ใช้ในประเทศไทยนี้ ถือเป็นการสำคัญในตำนานเรื่องหนึ่ง ก็เลยได้ตรวจเก็บเนื้อความเรื่องแปลงแบบเงินในตอนนั้นอันมีปรากฏอยู่ในหนังสือต่างๆเป็น ประกาศ ฯลฯ มาเรียบเรียงชี้แจงให้คนอ่านเข้าใจและจากนั้นก็เรื่องที่มีมา ในประเทศไทยนี้ใช้เงินกับเบี้ย (หอย) เป็นเครื่องแลกเปลี่ยนสำหรับเพื่อการจำหน่ายมาถึงแม้ว่ายุคกรุงจังหวัดสุโขทัย เงินนั้นหาตัวโลหะมาแต่ต่างแดน เอามาขัดเกลาทำเป็นสินทรัพย์ในประเทศไทยนี้เอง แต่ส่วนเบี้ยนั้น อาศัยพวกฝรั่งท่องเที่ยวค้นหาตามริมฝั่งแล้วพามาขายในประเทศนี้รับซื้อไว้ใช้สอยเป็นเครื่องแลกเปลี่ยนสำหรับการขาย ขนบประเพณีแบบนั้นอาจใช้จำนวนมากระทั่งตลอดยุคกรุงศรีอยุธยาเป็นจังหวัดราชบุรี มีเหตุปรากฏในปูมกาลครั้งหนึ่งเมื่อปีชวด พุทธศักราช๒๒๘๗ ในรัชกาลพระผู้เป็นเจ้าบรมโลงว่า "ใช้ทาบกันต่างเบี้ย" ดังต่อไปนี้ เดิมไม่รู้จักว่าติดตามนั้นคืออะไร ตราบจนกระทั่งพระยาโบราณราชธานินทร์ขุดตรวจที่ในวังหลวงที่กรุงศรีอยุธยา เจอดินเผาตีตราต่างๆขนาดเท่าเงินเหรียญห้าสิบเงินฝังไว้เป็นอย่างมาก ก็เลยรู้เรื่องว่านั่นเองที่เรียกว่าตามติด น่าจะเป็นด้วยขาดคราวคนต่างประเทศเอาเบี้ยเข้ามาขาย ก็เลยนำแทบกันขึ้นใช้แทนเป็นบางครั้งบางคราว พอเพียงมีเบี้ยเข้ามาขายก็เลิก ก็เลยไม่ได้ใช้แทบกันถัดมาเงินครั้งกรุงศรีอยุธยาทำเป็นเงินพดด้วง (เป็น รูปร่างกลม) ประทับเป็นหลักสองดวง ดวงหนึ่งมักเป็นรูปจักร คงแปลว่ากรุงศรีอยุธยาอันเป็นที่สถิตของสมเด็จพระรามาหัวหน้า อีกดวงหนึ่งมีใช้รูปแปลกๆกัน เป็นสังข์บ้าง เป็นตรีบ้าง เป็นสัญลักษณ์รัชกาล (แม้กระนั้นใคร่ครวญมอง แลเห็นดวงตราที่แตกต่างมีน้อชูว่าปริมาณกษัตริย์ที่ครอบครองกรุงศรีอยุธยามากสักเท่าไรนัก ก็เลยมุ่งมาดอีกอย่างหนึ่งว่า จะไม่แปลงแบรนด์ทุกรัชกาล ใช้แบรนด์เหมือนกันชั่วกัลปวสานตราบจนกระทั่งมีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังเช่น กำเนิดเงินปลอมมากขึ้นฯลฯ พระมหากษัตริย์ก็เลยมีพระราชกระแสรับสั่งสั่งให้แปลงแบรนด์เสียกาลครั้งหนึ่ง) เงินครั้งกรุงศรีอยุธยามีสี่ขนาดเป็นขนาดบาทหนึ่ง ขนาดครึ่งบาท (เรียกว่า สองสลึง แบบนี้ชะรอยคนจะไม่ได้อยากชอบใจใช้ ก็เลยมีน้อย) ขนาด ๑/๔ ของบาท เรียกว่า สลึงหนึ่ง ขนาด ๑/๘ ของบาท เรียกว่า เฟื้องหนึ่ง lucabet รองนั้นลงมาถึงเบี้ย มีอัตราสี่ร้อยเบี้ยเป็นราคาเฟื้องหนึ่ง แม้กระนั้นไม่เป็นราคาโดยถูกกฎหมาย แล้วแต่มีเบี้ยเข้ามาขายในตลาดเป็นจำนวนมากหรือน้อย ในเวลาเบี้ยในตลาดมีเยอะแยะ ราคาเบี้ยตกถึงหนึ่งพันเบี้ยต่อเฟื้องก็มี แต่ว่าประชาชนค้าขายเครื่องบริโภคกันในตลาดมักใช้เบี้ยเป็นหลัก บาคาร่าออนไลน์ ถึงยุคกรุงรัตนโกสินทร์ ตอนก่อนรัชกาลที่ ๔ อาจใช้เงินมาตามตัวอย่างครั้งกรุงศรีอยุธยา เป็นแต่ว่าเปลี่ยนแปลงแบรนด์ตามรัชกาล รัชกาลที่ ๑ ใช้ตราบัวอุณาโลม รัชกาลที่ ๒ ใช้แบรนด์ครุฑ รัชกาลที่ ๓ ใช้แบรนด์วัง รัชกาลที่ ๔ ใช้แบรนด์พระมหามงกุฎ ส่วนแบรนด์อีกดวงหนึ่งซึ่งบอกนามประเทศ บางครั้งอาจจะใช้แบรนด์จักรเช่นเดียวกันทั้งสี่รัชกาล เป็นอย่างงั้นมาจนกระทั่งในรัชกาลที่ ๔ เริ่มทำหนังสือคำสาบานทางพระราชไมตรีเปิดการขายกับฝรั่งประเทศนอกเมื่อ พุทธศักราช๒๓๙๘ การขายในกรุงเทพมหานคร เจริญก้าวหน้าเร็วเกินคาดหมายได้แก่ครั้งกระโน้นมา มีเรือกำปั่นฝรั่งเข้ามาค้าขายในจังหวัดกรุงเทพมหานคร เพียงราวปีละสิบสองลำ ตั้งแต่ทำหนังสือคำปัญญาแล้ว ก็มีเรือกำปั่นฝรั่งเข้ามาค้าขายถึงปีละสองร้อยลำ พวกพ่อค้าก็เอาเงินเหรียญดอลลาร์ซึ่งใช้สำหรับเพื่อการขายทางเมืองจีนเข้ามาซื้อผลิตภัณฑ์ พลเมืองไทยไม่รับ ฝรั่งก็เลยต้องเอาเงินเหรียญดอลลาร์มาขอแลกเงินบาทจากรัฐบาล ก็เงินบาทเงินพดด้วงนั้นช่างหลวงทำที่พระคลังสินค้ามหาโภคทรัพย์ เตาหนึ่งทำเป็นราววันละสองร้อยสี่สิบบาท เนื่องจากว่าทำแต่ว่าด้วยอุปกรณ์ ไม่ได้ใช้เครื่องจักร กระทู้อื่นๆที่เกี่ยวข้อง
|
||