ยางแตกลายงา เกือบพาลงข้างทาง

ผู้เขียนข้อความ

thebestofme

member
เขียนกระทู้: 1
ตอบกระทู้: 0
พลังน้ำใจ: 0 (ขอบคุณ)
14 มกราคม 2564 22:41 - อ่าน: 3,031 - ตอบ: 0

ผมเกือบตายเพราะดูแลยางรถไม่ดี! ทำยังไงให้รอดจากสถานการณ์นี้มาดูกันครับ

 

ผมเป็นคนนึงครับที่ขับรถอยู่ทุกวันแต่แทบไม่มีความรู้เรื่องการดูแลรักษามากเท่าไหร่เลย รู้แค่ว่าเข้าศูนย์เช็คระยะตามครบกำหนดแต่พอนานๆเข้า รถเราก็อายุไม่น้อย ก็ไม่ได้เข้าเช็คระยะที่ศูนย์บริการซะแล้ว กลายมาเป็นผู้ใช้บริการร้านทั่วๆไป ทีนี้แหละใช้ความรู้สึกส่วนตัวและการเตือนตัวเองล้วนๆ ส่วนตัวผมเองตั้งแต่เข้าสู่ยุค new normal ก็ทำงานที่บ้านแล้วใช้ชีวิตอยู่นอกเมืองเป็นหลัก ใช้รถทีก็วิ่งแค่สั้นๆ แค่ไม่เกินสิบกิโล ออกไปไหนทีก็แค่ซื้อของเข้าบ้าน ร้านกาแฟ ฟิตเนส เลยไม่ค่อยใส่ใจกับการเช็คสภาพรถเท่าไหร่ จนค่ำๆในวันหนึ่ง หลังจากกลับจากห้างแถวบ้าน ก็สังเกตได้ว่ายางเริ่มแบนเลยเอาไปเช็คลมยางที่ร้านในปั๊มแถวๆบ้าน 

ช่างเห็นสภาพยางผมแค่แวบเดียว แกก็บอกเลยว่ามันเยินนนนนมากครับ แตกลายงาซะขนาดนี้ ควรเปลี่ยนยางมาเป็นปีแล้ว โชคดีมากๆที่ขับมาได้โดยไม่หลุดเป็นชิ้นๆแบบที่เราเห็นเสมอๆบนทางด่วนT_T และคราวนี้ที่ยางแบน ก็เพราะมีตะปูเสียบคาอยู่เลย ช่างบอกว่าเป็นบุญแค่ไหนที่ผมขับมาถึงร้านได้เอง ไม่ต้องโดนลากมา แต่บังเอิญร้านในปั๊มแบบนี้ไม่มียางขนาดที่ผมใช้มาเปลี่ยนให้ได้ สุดท้ายช่างก็เลยปะยางแบบสติมให้ แล้วก็สลับยางคู่หน้ากับคู่หลังให้ก่อนเพื่อให้ผมขับออกมาได้ แต่ก็บอกผมว่าให้รีบไปเปลี่ยนโดยด่วน ถ้าไม่อยากมีปัญหาบนถนนแบบจริงๆจังๆ 

 

ช่างยังแนะนำว่าให้เช็คยางรถเองบ่อยๆ เติมลมยางทุกครั้งที่เติมน้ำมัน แล้วใช้เวลานั้นสำรวจสภาพยางว่ามีอะไรเสียหายมั้ย อาการบางอย่างเราขับตลอดๆอาจจะไม่รู้สึก ถ้าไม่มามองที่ยางจริงๆ เช่นการแตกลายงาแบบยางผมนี่คือยางเก่าแล้ว ใกล้หมดอายุการใช้งาน หรือบางครั้งยางอาจจะมีอาการบวมจากการตกหลุม ซึ่งแกก็อธิบายว่ามันไม่ได้บวมแบบลูกโป่งนะ มันแค่บวมแบบคนหัวโนอะไรงั้น แต่ก็เป็นอาการของความเสียหายของโครงสร้างยาง ที่ถึงแม้ยังพอขับไปได้ แต่ก็จะมีความเสี่ยงยางแตกมากขึ้น รวมไปถึงควร มองดูสิ่งแปลกปลอมที่ติดบนหน้ายาง อันนี้ดูด้วยสายตาได้ในทุกๆครั้งที่เติมลมยาง ถ้าเศษหินเศษไม้ชิ้นใหญ่ๆ คมๆติดอยู่อาจจะค่อยๆตำเนื้อยาง ทำให้ยางเรารั่วหรือบวมแตกได้ ให้หาอะไรเขี่ยออก ซึ่งเราก็จะเห็น การสึกหรอของหน้ายางด้วย แค่ใช้นิ้วทาบลงไปในร่องยาง ถ้าเรากดนิ้วเข้าไปไม่ได้แล้วแสดงว่าหน้ายางเราสึกมากจนไม่เหลือความลึกแล้วครับ (นิ้วใหญ่เกินแล้วสอดเข้าไปไม่ได้อันนี้ไม่นับนะครับ 55) แบบนี้แสดงว่าควรรีบเปลี่ยนยางแล้วไม่งั้นจะมีความเสี่ยงคือรถไม่เกาะถนน มีการสะบัดตอนเข้าโค้งหรือเมื่อขับเร็วจนเกิดอุบัติเหตุรุนแรงได้ครับ และที่สำคัญ ต้องสลับยางทุกหมื่นโล เพราะว่ายางหน้าหลังรวมถึงซ้ายขวา จะมีการกินยาง หรือการสึกกร่อนของยางไม่เท่ากัน ซึ่งขึ้นกับการขับขี่  ศูนย์ล้อ และอื่นๆอีกมากที่ผมฟังแล้วก็มึนๆไป แต่เอาเป็นว่า ถ้าไม่สลับยางเลย ประสิทธิภาพการขับขี่และการควบคุมรถจะลดลงมากเลย ยิ่งยางยิ่งเก่า ก็จะยิ่งแย่ลง และอาจจะทำให้เราต้องเปลี่ยนยางไวกว่าเดิมด้วย ซึ่งผมจำได้ว่าช่วงรถยังใหม่ๆ เอาเข้าศูนย์ทุกๆหมื่นโล ศูนย์ก็จะแนะนำให้สลับยางตลอด นี้พอเราไม่เอารถเข้าศูนย์บริการตั้งแต่นั้นมาเป็นปีๆ ผมก็ไม่ได้สลับยางรถเลย... 

 

กับคำแนะนำขนาดนี้ด้วยค่าปะยางหลักร้อยนี่ผมนี่ไม่รู้จะขอบคุณช่างยังไงดีเลยครับ พอหลังจากกลับมาถึงบ้าน  ผมก็ยังรู้สึกไม่สบายใจนอนคิดแล้วก็หาข้อมูลอยู่คืนนึง ซึ่งการหาข้อมูลยางสมัยนี้ตัดสินใจยากพอๆ กับตอนจะซื้อรถเลยครับแต่ละยี่ห้อก็มีเทคโนโลยี ข้อดีข้อเสีย แล้วราคาก็ต่างกันด้วย

 

ด้วยการใช้งานของรถคันนี้ที่ขับน้อย ผมเลยต้องเน้นสิ่งที่คุ้มค่าที่สุด ดูแลรักษาง่าย แต่ยังให้ความปลอดภัยได้อย่างมั่นใจ ยางที่ราคาประหยัดมากๆ แต่ไม่เคยได้ยินชื่อเลย ก็ดูขาดความมั่นใจในการใช้งาน ผมก็ตัดทิ้งไปเหมือนกัน ท้ายสุดผมก็ลิสต์ออกมาประมาณสี่ห้ายี่ห้อที่รู้สึกว่าชื่อชั้นระดับโลก เช่น บริดจ์สโตน มิเชลิน พิเรลลี โยโกฮาม่า กู๊ดเยียร์ และก็ชื่อกลางๆอย่าง โตโย เน็กเซ็น ดันลอปอะไรประมาณนี้

 

ในวันต่อมาจึงตัดสินใจแวะไปที่ B-Quik แถวบ้าน นั่งฟังน้องคนขายอธิบายแต่ละยี่ห้ออยู่พักนึง ก็แบบ เลือกลำบากมากกกกก แต่พอฟังแล้ว ที่รู้สึกว่าคุ้มค่าที่สุดในมุมชื่อชั้น และก็ฟีเจอร์ต่างๆ ก็น่าจะเป็น Pirelli รุ่น Scorpion Verde ที่น้องบอกมาก็อย่างเช่น เนื้อยางก็เป็นคอมพาวน์โพลีเมอร์ให้ความคงทน ซึ่งผมโดนตรงนี้มาก เพราะอยากให้ยางอยู่ทนๆ นานๆ และพอเป็นรถ SUV ก็ต้องการการยึดเกาะที่ดีเยี่ยมด้วย เพราะเห็นว่ายางพัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีจากการเป็นยางของรถแข่ง Formula 1 ในมุมของดีไซน์ ตัวร่องยางเรียงตัวสวยๆ รีดน้ำได้ดี ถึงแม้จะดูเป็นแบรนด์ที่คนไทยอาจจะยังไม่คุ้นเคยแต่ผมตัดสินใจเลือกเพราะเค้ามีชื่อเสียงเรื่องเทคโนโลยี ที่ใช้กับรถเกรดพรีเมี่ยม แถมยังมีประกัน บาด บวม แตก 1 ปีด้วยนะครับ ก็ดูคุ้มเลย 

 

พอเปลี่ยนมาก็ ผมก็ว่าดูดีนะ เหมือนซื้อรองเท้าสวยๆให้รถของเราครับ ซึ่งเท้าเรายังต้องหารองเท้าดีๆ ใส่ รถของเราก็ต้องหารองเท้าดีๆ ให้เขาเหมือนกัน และหลังใส่ยางชุดใหม่นี้กลับเป็นว่าผมใช้คันนี้มากขึ้น รู้สึกมั่นใจขึ้นเยอะมาก และที่สำคัญก็คือตอนนี้หัดตรวจสภาพยางทั่วๆไปอย่างที่พี่ช่างคนนั้นแนะนำไว้ ก็แนะนำทุกคนต่อนะครับ อย่าลืมเช็คสภาพยางรถกัน ไม่ว่าขับใกล้ขับไกล ขอให้เดินทางปลอดภัยกันทุกคนครับ :)

แก้ไขล่าสุดโดย thebestofme เมื่อ 14 มกราคม 2564 - 22:43


ตอบกระทู้ด่วน

กรุณาล็อคอินก่อนทำการตอบกระทู้นี้
สมัครสมาชิก หรือ ล็อคอิน