ถึงเวลาเปลี่ยนยางรถยนต์แล้วหรือยัง? ตรวจเช็กสภาพยางรถยนต์พร้อมวิธียืดอายุยาง

ผู้เขียนข้อความ

smanpruksa

member
เขียนกระทู้: 82
ตอบกระทู้: 0
พลังน้ำใจ: 0 (ขอบคุณ)
7 พฤษภาคม 2563 15:41 - อ่าน: 10,422 - ตอบ: 0

เมื่อจำเป็นต้องจอดรถยนต์ไว้บ้านภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา หรือ โควิด-19 ทำให้ยางรถยนต์ของบางคนต้องเสื่อมสภาพจากการจอดตากแดด หรือขาดการบำรุงรักษาเป็นระยะเวลานาน จนได้เวลาต้องพารถยนต์ของคุณเข้าศูนย์บริการเพื่อเปลี่ยนยาง แล้วเราจะมีวิธีตรวจเช็กสภาพยางรถยนต์อย่างไร? มีข้อมูลพร้อมวิธียืดอายุยางมาฝากกันค่ะ

ตรวจเช็กสภาพยาง...เมื่อไรที่ควรเปลี่ยน?

1.     ดอกยางหมด – เพราะร่องยางมีหน้าที่ในการรีดน้ำ ฝุ่น และโคลน หากร่องยางตื้น จะทำให้หน้ายางสัมผัสกับดอกยางมากขึ้น ยิ่งร่องยางเหลือตื้นมากเท่าไร ยิ่งเป็นอันตรายต่อผู้ขับขี่หากต้องเจอกับสภาพถนนที่เปียกน้ำ แม้ว่าส่วนประกอบของยางยังดีอยู่ ทำให้ยังสามารถใช้งานบนถนนที่เรียบและแห้งได้ดีกว่ายางมีดอกที่มีความกว้างเท่ากันเพราะมีพื้นที่สัมผัสถนนมากกว่า แต่รถยนต์ที่ใช้งานทั่วไป จะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าจะต้องเจอกับสภาพถนนแบบใด

เมื่อยางดอกหมดหรือมีความลึกต่ำกว่าที่กำหนด (ต่ำกว่า 2 มม.) ควรเปลี่ยนยางทั้งชุดเพื่อความปลอดภัย โดยยางเกือบทุกรุ่นจะมีสัญลักษณ์บอกระดับความลึกของดอกยาง เป็นแท่งเชื่อมระหว่างดอกยางกับบริเวณส่วนลึกสุดของร่องยาง (ไม่ใช่ทุกร่อง) เมื่อไรที่ดอกยางสึกจนถึงแท่งนี้ แสดงว่าควรเปลี่ยนยางเส้นใหม่

2.     เนื้อยางแข็ง – ยางรถยนต์ส่วนใหญ่ เมื่อใช้งานไประยะหนึ่งจะได้รับความร้อนจากสภาพอากาศ พื้นถนน และการบิดตัวของยางเอง ซึ่งเกิดขึ้นตลอดการหมุนของล้อรถยนต์ เมื่อเนื้อยางเริ่มแข็งขึ้น การสึกของดอกยางก็จะช้าลง จะทำให้มองเห็นว่าร่องยางยังลึกอยู่ แต่แรงเสียดทานระหว่างดอกยางกับผิวถนนจะมีน้อยลง และโครงสร้างภายในของยางก็เสื่อมสภาพลงด้วย

ทดสอบได้โดยการใช้เล็บจิกลงบนเนื้อของหน้ายาง เปรียบเทียบกับยางใหม่ ๆ ที่สามารถจิกลงไปในเนื้อยางได้ง่ายและลึกกว่า หากดอกยางยังไม่หมดและยังต้องการใช้งานต่อ เมื่อยางรถยนต์อายุเกิน 3 ปี หรือเกิน 50,000 กิโลเมตร ต้องหมั่นตรวจสอบสภาพยางอย่างสม่ำเสมอ และควรหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนมาใช้ยางเก่าที่ค้างเก็บในสต๊อกของร้าน เพราะจะทำให้ระยะเวลาในการใช้ยางสั้นลงกว่า 3 ปี

3.     ยางเสียงดัง – เป็นผลต่อเนื่องมาจากการแข็งตัวของเนื้อยาง ทำให้ขาดความยืดหยุ่น ลื่น และเกิดเสียงดังขึ้นขณะขับขี่ โดยเฉพาะยางที่มีดอกขนาดใหญ่ และร่องยางห่าง ซึ่งปกติจะทำให้เกิดเสียงดังอยู่แล้ว เมื่อผ่านการใช้งานไปนาน ๆ ก็จะมีเสียงดังมากขึ้น อ่าน เสียงจากยางรถยนต์ดังบอกอะไรกับเราบ้าง คลิก 

4.     แก้มยางบวม – มักเกิดจากการหมดอายุของโครงสร้างยางภายใน หรือการกระแทกอย่างรุนแรง เช่น การขับตกหลุมหรือเบียดเข้าขอบทางเท้า จนโครงสร้างภายในบริเวณแก้มยางแตกหักเสียหาย บริเวณแก้มยางจะป่องออกมาคล้ายลูกมะนาว ซึ่งมีอันตรายมากอาจถึงขั้นยางระเบิด โดยเฉพาะถ้าเกิดขึ้นบริเวณแก้มยางด้านใน ซึ่งสังเกตได้ยาก

ยืดอายุยางอย่างไร? ให้ปลอดภัยและใช้งานได้นานขึ้น

  1. หลีกเลี่ยงการจอดหรือขับรถทับน้ำมันที่อาจหกอยู่บนพื้น เพราะน้ำมันทุกชนิดมีผลทำให้ยางบวมหรือร่อน หรือหากมีน้ำกรดโดนยาง ควรล้างออกด้วยน้ำสบู่เท่านั้น เพราะสบู่มีค่าเป็นด่างจะช่วยล้างความเป็นกรดออกได้
  2. ตรวจสอบสภาพของกระทะล้อและวาล์วเติมลมเป็นประจำ เพราะเมื่อยางเกิดแบนหรือรั่วซึมมักมีสาเหตุมาจาก 2 จุดนี้ ไม่ได้เกิดจากตัวยางโดยตรง นอกจากนี้ ยังควรมีฝาปิดจุกเติมลมให้มิดชิดเพื่อป้องกันลมรั่ว
  3. เมื่อรถเสียและต้องถูกลากเป็นระยะทางไกล (สำหรับรถขับเคลื่อนล้อหน้า) ควรเพิ่มแรงดันลมยางที่ล้อหลังอีก 3-4 ปอนด์/ตารางนิ้ว
  4. ไม่ควรเข้าโค้งอย่างรุนแรง หรือการออกตัวแบบกระชากกระชั้น จะทำให้ยางสึกเร็วกว่าปกติ
  5. ควรแคะก้อนกรวดที่ค้างอยู่ในร่องยางออกให้หมด เพราะสิ่งเหล่านี้จะค่อย ๆ เบียดลงไปในร่องยางจนทำให้ทิ่มตำเนื้อยางจนเกิดความเสียหายกับยางได้

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.smk.co.th

กระทู้อื่นๆที่เกี่ยวข้อง


ตอบกระทู้ด่วน

กรุณาล็อคอินก่อนทำการตอบกระทู้นี้
สมัครสมาชิก หรือ ล็อคอิน