ผู้เขียน | ข้อความ | ||
---|---|---|---|
smanpruksa
เขียนกระทู้: 82
ตอบกระทู้: 0
พลังน้ำใจ: 0
(ขอบคุณ)
|
รถทุกคันล้วนมีจุดบอด หรือจุดอับสายตา เป็นบริเวณที่เป็นกระจกด้านข้าง ด้านหลัง ไม่สามารถจับภาพได้ หรือ อยู่แนวที่ผู้ขับขี่มองเห็นได้ยาก ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ ซึ่งจะมีบริเวณไหนที่เราควรระวังเป็นพิเศษขณะขับรถ มีข้อมูลมาแนะนำกันดังนี้
พื้นที่บอด (Blind Area) คือ บริเวณพื้นที่ที่ผู้ขับขี่ไม่สามารถมองเห็นด้วยสายตา เพราะมีสิ่งบดบังทัศนวิสัยในการมองเห็นรอบรถ จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เช่น การถอยหลังชนท้าย การเปลี่ยนช่องทางเดินรถ เป็นต้น 1. จุดบอด จากเสาเอ เสาเอ คือ เสาที่ติดตั้งกระจกคู่หน้า ด้วยความหนาของเสาเอที่อยู่ด้านข้างสายตาเวลาขับรถ เรามักจะมีปัญหาเสาเอบังวิสัยทัศน์ บ่อยครั้งที่เรามองไม่เห็นรถที่สวนออกจากด้านข้าง เพราะเสาเอบังสายตา หรือการเลี้ยวการกลับรถ เสาเอเป็นอุปสรรคให้แก่การมองเสมอ วิธีการแก้ไข อย่าปรับเบาะนั่งให้สูงจนเกินไป โดยให้วัดระดับศีรษะผู้ขับกับเพดานรถให้มีความห่างประมาณ 6 นิ้ว วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือต้องโยกศีรษะมองข้ามเสาเอไป เวลาเลี้ยวรถ
2. จุดบอด จากกระจกมองข้าง จุดบอดจากกระจกมองข้าง จุดอับที่อยู่นอกเหนือองศาการมองเห็นของผู้ขับขี่จากกระจกมองหลังที่ได้ปรับมุมมองเอาไว้ โดยส่วนมากจะเป็นบริเวณที่ห่างจากตัวรถในลักษณะเกือบตีคู่กับรถ
วิธีการแก้ไข วิธีแก้คือปรับท่านั่งของผู้ขับให้อยู่ในท่าที่ถนัด สามารถเหลียวมองตามจุดต่าง ๆ และเป็นท่าที่สามารถควบคุมส่วนต่าง ๆ ของรถได้อย่างปลอดภัย ปรับกระจกมองข้างให้ได้มุมมองกว้างที่สุด สามารถมองเห็นตัวรถด้านข้าง พื้นผิวถนน และเส้นแบ่งเลนได้ ระดับการมองไม่สูงเกินไป ผู้ขับขี่ไม่ต้องเคลื่อนศีรษะมากเกินไปเพื่อมองทาง เพราะการเอี้ยวมองด้านใดด้านหนึ่งมากเกินไปจะทำให้เกิดจุดบอดการมองเห็นในบริเวณด้านตรงข้ามได้ 3.จุดบอด กระจกหลัง จุดอับบริเวณนี้มักเป็นจุดที่ผู้ขับขี่ขาดความระมัดระวัง เพราะคิดว่าการมองด้วยกระจกมองข้างสามารถมองเห็นได้ชัดเจนกว่า บางคนยังติดนิสัยนำสิ่งของไปวางไว้หลังรถจนไม่สามารถใช้งานกระจกมองหลังได้ กลายเป็นกระจกส่องหน้า หรือคอยสังเกตผู้โดยสารด้านหลังแทน กระจกมองหลังมีประโยชน์ต่อผู้ขับขี่เป็นอย่างมาก จำเป็นต้องใช้งานในกรณีขับขี่แซงหน้ารถคันอื่น เปลี่ยนเลน หรือถอยรถ การใช้งานกระจกมองหลังต้องมองเห็นหน้าต่างด้านหลังได้ทั้งบาน เป็นการเพิ่มทัศนวิสัยด้านหลังของรถ
วิธีการแก้ไข ปรับองศาของกระจกมองหลังต้องไม่ให้เห็นศีรษะของผู้ขับขี่ แต่เห็นภาพด้านหลังทั้งหมด การใช้กระจกมองหลังเพื่อแซง ให้ผู้ขับขี่ใช้กระจกมองหลังไปยังตำแหน่งหน้ารถคันที่ต้องการแซง กะระยะห่างให้มั่นใจว่าอยู่ห่างประมาณ 2 – 3 ช่วงตัวรถ หรือในระยะที่ปลอดภัย การมองด้วยกระจกมองหลังจะช่วยในการกะระยะได้ดีกว่ากระจกมองข้าง แต่ก็ต้องมองให้ถี่ถ้วนเพื่อป้องกันรถที่อยู่ในจุดบอดในเลนที่ต้องการแซงหรือเปลี่ยนเลนก่อน 4. จุดอับสายตาจากรถคันอื่น ในกรณีที่ต้องขับรถตามหลังรถคันที่ใหญ่กว่าอย่างรถบรรทุก หรือรถบัสนั้นจะทำให้ทัศนวิสัยการมองเห็นข้างหน้าลดลงมาก ระยะห่างที่ผู้ขับขี่จะมองเห็นได้นั้นมีจำกัด จนยากจะบอกได้ว่าเส้นทางนั้นมีทางแยก ทางโค้ง หรือมีรถสวนทางมาหรือไม่
วิธีการแก้ไข การขับรถตามหลังรถที่มีขนาดใหญ่จึงควรเว้นระยะให้มากที่สุด ประมาณระยะคร่าว ๆ จากความสามารถในการมองเห็นเลนที่สวนทางได้ชัดเจน หรือหากมีโอกาสที่เหมาะสมก็ควรแซงหน้าขึ้นไปทันที แต่ไม่ควรแซงซ้ายเพราะถือเป็นจุดบอดของรถที่มีขนาดใหญ่เองด้วย
5. จุดอับสายตาอันเนื่องมาจากลักษณะของเส้นทาง จุดอับสายตาในลักษณะนี้อาจไม่แน่นอน เนื่องมาจากสภาพพื้นผิวถนนหรือเส้นทางที่มีลักษณะโค้ง ทางลาดขึ้นหรือลงเนิน ซึ่งแม้จะเป็นจุดบอดแต่ผู้ขับขี่สามารถป้องกันอันตรายได้โดยปฏิบัติตามป้ายเตือนจราจรที่กำหนดเอาไว้อย่างเคร่งครัด ยิ่งในกรณีเส้นทางที่ผู้ขับขี่ไม่รู้จักควรเพิ่มความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น วิธีป้องกันอุบัติเหตุจากจุดบอดของรถ
1. ปรับกระจกมองข้างและมองหลังให้อยู่ในองศาที่สามารถมองเห็นได้ ไกลกว่าด้านข้างรถ
2. ในขณะขับแซงให้มองกระจกข้างครอบคลุมถึงจุดบอดภายในรถ โดย เหลือบมองผ่านหัวไหล่ไปอย่างรวดเร็ว
3. หลีกเลี่ยงการแขวนเสื้อหรือสิ่งของต่างๆ บริเวณเบาะหลังด้านซ้าย ของรถ เพราะจะเพิ่มจุดบอดในการมองเห็นเส้นทาง
4. อย่าแซงในบริเวณทางโค้ง หรือใช้ความเร็วในการขับขึ้นหรือลงเนินอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะเส้นทางที่ผู้ขับขี่ไม่สามารถมองเห็นปลายทางได้
5. การขับในเวลากลางคืนควรใช้สัญญาณไฟสูงช่วยหากมองเส้นทางไม่ชัดเจน หรือเป็นการใช้เพื่อให้สัญญาณเตือนแก่รถที่ขับสวนเลนกันให้สังเกตเห็นรถของผู้ขับขี่เองด้วยขอบคุณข้อมูลจากสินมั่นคงประกันภัย (https://www.smk.co.th/premotor.aspx) กระทู้อื่นๆที่เกี่ยวข้อง
|
||