ผู้เขียน | ข้อความ | ||
---|---|---|---|
smanpruksa
เขียนกระทู้: 82
ตอบกระทู้: 0
พลังน้ำใจ: 0
(ขอบคุณ)
|
เมื่อค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันพุ่งสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าครองชีพ ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ก็ล้วนส่งผลกระทบต่อทุกชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลายคนจึงเริ่มมองหาทางออกในการลดค่าใช้จ่ายด้วยการมองหาการใช้พลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานทดแทน รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินชีวิตเพื่อดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมให้เกิดความยั่งยืนไปพร้อมกัน “รถยนต์พลังงานไฟฟ้า” จึงเข้ามาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ก็อาจยังไม่แน่ใจว่า จะสามารถดูแลรักษารถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างไร หากต้องตัดสินใจเลือกใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า มีข้อมูลมาบอกต่อ
รถยนต์ไฟฟ้า ควรต้องเช็กระยะอย่างไร รถยนต์ไฟฟ้าอาจจะไม่ต้องการการดูแลเท่ากับรถยนต์ใช้น้ำมัน แต่ก็มีกำหนดเข้ารับบริการเช็กระยะกับศูนย์บริการแบบเดียวกับรถยนต์ใช้น้ำมัน คือทุก ๆ 10,000 กิโลเมตร หรือ 6 เดือน ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าตัวเลขใดถึงก่อน และจะมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่ารถใช้น้ำมันมาก จึงควรนำรถเข้ามาตรวจเช็กระยะตามกำหนด เพื่อจะได้ตรวจสอบความผิดปกติ สิ่งบกพร่องต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น มอเตอร์ แบตเตอรี่ ระบบชาร์จไฟ รวมไปถึงไฟส่องสว่างและยางรถยนต์ การดูแลรักษารถยนต์ไฟฟ้า มีอะไรบ้าง แม้รถยนต์ไฟฟ้าจะมีส่วนประกอบในการทำงานน้อยกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ทำให้การดูแลรักษาอาจไม่ยุ่งยาก แต่ก็อาจเกิดข้อผิดพลาดจากอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ ดังนี้ 1. มอเตอร์ไฟฟ้า แม้รถยนต์ไฟฟ้าจะไม่ต้องบำรุงรักษาในระดับเดียวกับเครื่องยนต์สันดาป ไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง หรือแม้แต่เปลี่ยนไส้กรอง แต่ควรนำรถยนต์ไฟฟ้าเข้าไปตรวจสอบระบบขับเคลื่อนกับศูนย์บริการที่ใช้ช่างมีประสบการณ์เฉพาะด้านยานยนต์พลังงานไฟฟ้าตามระยะการใช้งาน หลีกเลี่ยงการลุยน้ำท่วมขังที่มีระดับความสูงเกิน 30 เซนติเมตร โดยเฉพาะมอเตอร์ขับเคลื่อนจะมีราคาแพงและลดหลั่นกันไปกับราคาของรถยนต์ไฟฟ้า ที่มีทั้งแบบธรรมดาและมีประสิทธิภาพสูง มีราคาตั้งแต่แสนกว่าบาท หลายแสนไปจนถึงหลักล้าน แม้ตัวมอเตอร์จะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานและเป็นสิ่งที่พังได้ยาก แต่ถ้าเกิดเสียหรือขัดข้องอาจทำให้เกิดความกังวลใจต่อผู้ขับขี่ เพราะมีราคาในการซ่อมหรือเปลี่ยนที่ค่อนข้างสูง จึงควรสังเกตการทำงานของมอเตอร์ว่าเป็นปกติดีหรือไม่ และนำรถเข้าเช็กระยะตามกำหนดเพื่อให้ช่างผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบอีกครั้ง
2. ระบบเบรก ระบบเบรกของรถยนต์ไฟฟ้ามีอายุการใช้งานของผ้าเบรกที่ยาวนานกว่าระบบเบรกของรถทั่วไป เนื่องจากระบบเบรกจะมีระบบชาร์จไฟกลับขณะที่เหยียบเบรก นอกจากจะช่วยเพิ่มกำลังไฟเพื่อการเดินทางที่ยาวขึ้นแล้ว ยังเป็นการถนอมผ้าเบรกให้ใช้งานได้ยาวนานขึ้น แต่ก็ควรสังเกตผ้าเบรกเป็นประจำว่ายังทำงานได้ปกติ มีเสียงดังหรือไม่ หากพบจะได้ตรวจสอบและแก้ปัญหาก่อนเกิดอันตรายได้ 3. แบตเตอรี่ แบตเตอรี่เป็นที่กักเก็บไฟทำให้ระบบต่าง ๆ ภายในรถทำงานและเคลื่อนที่ ความชื้น จึงถือเป็นอุปสรรคสำคัญที่ต้องระวัง เพราะความชื้นจะทำให้เกิดการกัดกร่อนของชิ้นส่วนทางกลไก เช่น ขั้วต่อแบตเตอรี่ จึงควรตรวจสอบแบตเตอรี่เป็นประจำอยู่เสมอ และไม่ควรจอดรถยนต์ไฟฟ้าไว้กลางแจ้งหรือที่ที่ไม่มีหลังคา เพราะอาจทำให้แบตเตอรี่สะสมความร้อนมากเกินไป และทุกครั้งที่ชาร์จแบตเตอรี่ควรชาร์จให้เต็ม 100% เพื่อการใช้งานที่นานและถนอมเซลล์แบตเตอรี่
4. หัวชาร์จหรือที่ชาร์จไฟ ควรเลือกใช้ที่ชาร์จเดิมที่ให้มาพร้อมกับรถ เพราะจัดว่าเป็นอุปกรณ์ที่ได้การรับรองมาตรฐานมาแล้วจากศูนย์บริการ มีระบบความปลอดภัยและการป้องกันที่เหมาะสม ช่วยป้องกันประกายไฟ หรือไฟฟ้าลัดวงจร หากใช้หัวชาร์จหรือที่ชาร์จที่ไม่ได้มาตรฐานอาจเกิดปัญหาต่าง ๆ เช่น ไฟไม่เข้า การจ่ายไฟไม่ได้มาตรฐาน หรืออาจเกิดการลัดวงจรได้ นอกจากนี้ เพื่อช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ จึงควรชาร์จไฟแบบค่อยๆ ปล่อยให้กระแสไฟไหลเข้าไปในแบตเตอรี่ด้วยการชาร์จแบบปกติหรือ AC แต่อาจจำเป็นต้องรอนาน 6-8 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น เนื่องจากการชาร์จเร็วด้วยไฟ DC จะทำให้แบตเตอรี่มีอุณหภูมิสูงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ระบบระบายความร้อนของแบตฯ ต้องทำงานหนัก การชาร์จไฟด้วยระบบชาร์จเร็วบ่อยครั้ง หรือชาร์จไฟต่ำเกินไปจะทำให้อายุการใช้งานของแบตเตอรี่สั้นลง จึงควรเสียบปลั๊กชาร์จไฟฟ้าให้แบตเตอรี่อยู่ในสถานะเต็ม 100% 5. เปลี่ยนถ่ายของเหลวต่าง ๆ แม้จะมีชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่ลดลง แต่ก็ยังมีการใช้ของเหลวต่าง ๆ ในรถยนต์ไฟฟ้า เช่น น้ำหล่อเย็น น้ำมันเบรก และน้ำฉีดกระจก ควรหมั่นสังเกตและตรวจสอบเป็นประจำ หากมีปริมาณลดลงควรเติมเพิ่มเข้าไปหรือนำรถเข้าตรวจที่ศูนย์บริการ ซึ่งรถยนต์พลังงานไฟฟ้าส่วนใหญ่ มักจะใช้เกียร์อัตโนมัติความเร็วเดียว (Electric Motor Single speed Transmission for EV) แต่บางรุ่นที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงแบบสองสปีด จึงมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามระยะทางของการใช้งาน เพื่อให้ระบบหล่อลื่นของชุดเกียร์และมอเตอร์สามารถขับเคลื่อนได้อย่างราบรื่นได้เป็นปกติในระหว่างการใช้งาน และควรเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ของรถยนต์ไฟฟ้าเมื่อใช้งานถึงระยะทางที่กำหนด
6. ยางรถยนต์ ไม่ว่าจะรถยนต์ใช้น้ำมัน หรือรถยนต์ไฟฟ้า สิ่งหนึ่งที่มีการเสื่อมสภาพและต้องเปลี่ยนเป็นประจำก็คือ ยางรถยนต์ ซึ่งจะมีอายุการใช้งานที่ต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับรุ่น ยี่ห้อ หรือรูปแบบของการขับขี่ ส่วนใหญ่จะมีระยะทางใช้อยู่ที่ 20,000-50,000 กิโลเมตร จึงเปลี่ยนเส้นใหม่ แต่ก็มีที่ยังไม่ถึงกำหนดเปลี่ยนแต่ก็เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นมาได้ เช่น ยางแตก ยางบวม หรือมีรอยฉีกขาด โดยยางรถยนต์ที่ติดมาจากโรงงาน สามารถใช้งานได้ประมาณ 30,000-40,000 กิโลเมตร ซึ่งเท่ากับยางของรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในทั่วไป แต่อายุการใช้งานของยาง จะขึ้นอยู่กับสภาพผิวถนนที่วิ่งเป็นประจำ น้ำหนักบรรทุก และลักษณะของการขับขี่ ที่จะส่งผลต่ออายุการใช้งานของยางโดยตรงด้วยเช่นกัน
ในภาวะที่ต้องรัดเข็มขัดกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ ประกันรถยนต์ตามเวลา 1-3+ ช่วยให้คุณจ่ายประกันรถยนต์ได้สบายด้วยเบี้ยเบา ๆ บรรเทาภาระในยามวิกฤต กับ ประกันรถยนต์ตามเวลา เลือกได้ตามใจ ให้ความคุ้มครอง 3, 6, 12 เดือน ช่วยให้คุณอุ่นใจได้ทุกครั้งที่ออกเดินทาง สามารถแบ่งซื้อครั้งละ 3 หรือ 6 เดือนได้ ไม่ต้องจ่ายเป็นเงินก้อน เมื่อครบกำหนด คลิกเลือกต่อประกันและชำระเงินออนไลน์ รับกรมธรรม์อิเล็กทรอนิกส์ได้ทันที ไม่ต้องกังวลว่า จะลืมต่ออายุกรมธรรม์ประกันภัย บริษัทฯ จะแจ้งเตือนการต่อประกันผ่าน SMS และโทรศัพท์จากพนักงาน ก่อนประกันหมดอายุ สนใจรายละเอียด คลิก www.smk.co.th/productmotordetail/1024 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com กระทู้อื่นๆที่เกี่ยวข้อง
|
||